เรียบเรียงโดย นภพงศ์ กู้แร่
สถานศึกษาศิลปะแห่งแรกที่สอนศิลปะให้แก่ผม คือวิทยาลัยช่างศิลป
ที่นี่เป็นสถาบันที่ผมรัก และหวงแหนมากที่สุด ผมไม่เคยลืมคุณของครูผู้สอนทั้งศิลปะและสามัญ
ตลอดจนผู้ก่อตั้งและวางรากฐานการศึกษาด้านศิลปะของสถาบันนี้ คือ
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี หากไม่มีท่านเหล่านี้ ผมและอีกหลายคนคงไม่ได้มาอาศัยร่มเงาศิลปะภายใต้ชื่อสถาบัน
วิทยาลัยช่างศิลป ด้วยผมเกิด เมื่อศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
ท่านเสียชีวิตไปแล้ว แน่นอนว่าเสียดายที่ไม่ทันได้ศึกษาศิลปะกับท่านด้วยความเคารพและศรัทธา
จึงเรียบเรียงบทความโดยวิธีการค้นคว้าจากหนังสือต่างๆ และการบอกเล่า
ฝากให้เห็นคุณูปการของศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ที่มีต่อวิทยาลัยช่างศิลป
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี คือใคร?
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เกิดเมื่อวันที่ 15 กันยายน พ.ศ.2435 ที่เมืองฟลอเรนซ์
ประเทศอิตาลี นามเดิมว่า คอร์ราโด เฟโรจี ตรงกับรัชสมัยในรัชการที่
6 ในขณะนั้น รัฐบาลประเทศสยามมีนโยบายขอให้รัฐบาลประเทศอิตาลีคัดเลือกประติมากรผู้มีฝีมือมารับราชการปฏิบัติงานหล่อ
และถ่ายทอดความรู้แก่ชาวสยามให้มีความรู้ทางด้านศิลปะทัดเทียมกับชาวตะวันตกตามพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้า
เจ้าอยู่หัว ปี พ.ศ.2466 ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เดินทางมารับราชการกรมศิลปากร
กระทรวงวัง ในตำแหน่งช่างปั้น ที่ประเทศสยาม วันที่ 14 มกราคม พ.ศ.2466เมื่ออายุท่านย่าง
32 ปี ผลงานที่ทำให้ท่านมีชื่อเสียงจนได้รับเลือกมารับราชการในประเทศสยาม
คือ ประติมากรรมอนุสาวรีย์สงคราม ที่เมืองปอร์โตเฟอราอิโอ ด้านชีวิตครอบครัว
ก่อนเดินทางมา ท่านเคยแต่งงานมาครั้งหนึ่งแต่แยกทางกัน ท่านเดินทางมากับภริยาใหม่
คือ นางฟันนี วิเวียนนี และใช้ชีวิตร่วมกันในประเทศสยามจนถึงสงครามโลกครั้งที่
2 ครอบครัวขอท่านจึงกลับประเทศอิตาลีพร้อมลูกชาย และลูกสาว แต่ท่านกลับอยู่ประเทศสยามด้วยความเสียสละเพื่องานศิลปะ
และด้านศิลปะศึกษาที่ท่านรัก ท่านแยกทางกันแต่มีโอกาสได้พบกันเมื่อท่านลางานเพื่อเยี่ยมเยือนครอบครัวในบางปี
ปี พ.ศ.2486 ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ศาสตราจารย์ คอร์ราโด เฟโรจี
มีสัญชาติอิตาเลี่ยนซึ่งแพ้สงครามจึงถูกกักกันตัว ( บางครั้งกล่าวว่ากักบริเวณ
) ท่านจึงเปลี่ยนชื่อ และสัญชาติโดยมีชื่อ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี
แทนนามเดิม
ท่านแต่งงานกับคุณมาลินี แคนนี่ แต่ไม่มีบุตร ธิดาด้วยกัน ท่านอุทิศตนจนถึงวาระสุดท้ายให้กับการบุกเบิกศิลปะ
และศิลปะศึกษาในประเทศไทย แม้อายุท่านล่วงเลยเกิน 60 ปีแล้ว จวบจนท่านถึงแก่กรรม
ณ โรงพยาบาลศิริราช เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2505 โดยสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมโดยเฉพาะอนุสาวรีย์ที่สำคัญต่างๆ
ในประเทศไทย
ความขยัน และรับผิดชอบในหน้าที่
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ท่านให้การอบรมแก่ศิษย์ทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติโดยมิได้เหน็ดเหนื่อย
ท่านเป็นผู้ที่มีความขยันขันแข็ง ท่านมาทำงานแต่เช้าก่อนเวลา ๘.๐๐
น. และกลับบ้านหลังเวลา ๑๘.๐๐ น.ทุกวัน ตั้งใจถ่ายทอดวิชาอย่างจริงจัง
ทำให้ศิษย์ทุกคนมีความขยัน หมั่นเพียร ใครเกียจคร้านท่านจะไม่พูดด้วย
ท่านชอบที่อยู่ใกล้ศิษย์เสมอ ปกติท่านมิเคยลาป่วยหรือลาหยุดแล้ว ในทางตรงกันข้ามมาทำงานตั้งแต่เช้า
ยันค่ำ ท่านทำงานไม่หยุดว่าง ทั้งงานประติมากรรมอนุสาวรีย์ของส่วนราชการ
และงานสอนที่ท่านทุ่มเท ท่านเคารพต่อราชการไม่เคยใช้เวลาราชการ และไม่เคยทำงานพิเศษเป็นส่วนตัวแสวงหารายได้เพื่อเลี้ยงชีพเพิ่มพูนรายได้นอกจากเงินเดือนราชการ
ความขยันหมั่นเพียรของท่าน ควรค่าแก่การเคารพในเกียรติยศของท่าน
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากร
ปี พ.ศ.2469 ศาสตราจารย์ศิลป์ ได้ย้ายมาเป็นช่างปั้น สังกัดกองประณีตศิลปกรรม
กรมศิลปากร กระทรวงธรรมการ ระหว่างนั้นท่านได้เริ่มสอนศิลปะแก่ผู้สนใจโดยเฉพาะทางด้านประติมากรรม
ทั้งทางด้านทฤษฎี และปฏิบัติ ศิษย์รุ่นแรกๆส่วนใหญ่มาจากโรงเรียนเพาะช่าง
เมื่อทางราชการเล็งเห็นความสำคัญของการศึกษาทางด้านศิลปะจึงให้ท่านเป็นผู้วางหลักสูตร
และตำราขึ้น โดยมีมาตรฐานเช่นเดียวกับยุโรป อาจารย์ดำรง วงศ์อุปราช
กล่าวว่า ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นบุคคลผู้มีความสำคัญที่สุดในการทำให้เกิดศิลปิน
และศิลปะแบบใหม่ขึ้นในประเทศไทยอย่างแท้จริง ศิลปินมีการสร้างสรรค์ศิลปะที่มีฐานของความรู้และความเข้าใจ
ท่านเห็นว่า การสร้างสรรค์งานศิลปะนั้นจำเป็นต้องมีการศึกษาอย่างเป็นระบบและแบบแผน
ท่านจึงพยายามให้ทางราชการเปิดโรงเรียนสอนศิลปะ จนเปิดโรงเรียนประณีตศิลปกรรมขึ้น
ในปี พ.ศ.2477 กรมศิลปากรจึงจัดตั้งโรงเรียนประณีตศิลปกรรม โดยมีศาสตราจารย์ศิลป์เป็นผู้อำนวยการและเป็นผู้สอนวิชาศิลปะทั้งทางด้านทฤษฎี
และปฏิบัติ โรงเรียนประณีตศิลปกรรมได้ยกฐานะเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากร
ในปี พ.ศ.2486 จนถึงปัจจุบัน นับเป็นโรงเรียนสอนศิลปะสากลแห่งแรกของประเทศสยามและเอเชียอาคเนย์
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ผู้วางรากฐานการศึกษา และริเริ่มก่อตั้งวิทยาลัยช่างศิลป
ในระดับเตรียมมหาวิทยาลัยนั้น ท่านได้ริเริ่มวางรากฐานมาตั้งแต่ปี
พ.ศ.2488 การเรียนศิลปะ ศาสตราจารย์ศิลป์ กล่าวว่า การศึกษาศิลปะ ต้องใช้เวลามาก
อย่างน้อยต้อง 8 ปี แต่ในระดับปริญญาตรี ใช้เวลา 5 ปี ท่านจึงสนับสนุนให้ตั้งโรงเรียนศิลปศึกษา
หรือโรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร และสามารถเปิดเป็นโรงเรียนศิลปศึกษาขึ้น
ในปี พ.ศ.2495 ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นโรงเรียนช่างศิลป และปัจจุบันคือวิทยาลัยช่างศิลป
ตามลำดับ ซึ่งจัดการเรียนการสอนทางด้านศิลปะระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และผลิตบุคลากรศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาทางด้านศิลปะมาเป็นเวลานาน
ในการจัดทำหลักสูตรในช่วงเริ่มต้นเปิดโรงเรียนนั้น อาจารย์ประยูร อุลุชาฏะ
เป็นผู้ที่ศาสตราจารย์ศิลป์ไว้วางใจให้เป็นผู้จัดทำหลักสูตร ตลอดจนการดำเนินงานต่างๆในขั้นแรกเริ่มตั้งโรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร
ในขณะนั้นยังไม่มีสถานที่เรียน ต้องอาศัยสถานที่ในมหาวิทยาลัยศิลปากร
จนเมื่อย้ายสถานที่เรียนมาอยู่ที่ตึกกระทรวงคมนาคม ซึ่งถูกรื้อ และสร้างเป็นโรงละครแห่งชาติในปัจจุบัน
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีกับศิษย์ช่างศิลป
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี ท่านแวะเวียนมาที่โรงเรียนศิลปศึกษาหรือวิทยาลัยช่างศิลปในขณะนั้นเป็นประจำ
บางครั้งมาพูดคุยกับบรรดาอาจารย์ซึ่งบางส่วนเป็นศิษย์ของท่าน และพบปะ
อบรม บ่มนิสัย แก่นักเรียนในสมัยนั้น ดังเช่น
นิคม มูสิกะคามะ อดีตอธิบดี กรมศิลปากร กล่าวถึง ศาสตราจารย์ศิลป์
พีระศรีว่าเป็นผู้สงบศึกการวิวาทของนักเรียนระหว่างโรงเรียนศิลปศึกษา
กับโรงเรียนนาฏศิลป ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ๒๕๐๐ ว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์จึงมีการประชุมระหว่าง
๒ โรงเรียนเพื่อปรับความเข้าใจ ในวันนั้น มีฝรั่งคนหนึ่งเดินออกไปหน้าชั้น
พูดภาษาไทยสำเนียงฝรั่ง รุ่นพี่บอกว่านี่แหละ อาจารย์ฝรั่ง ศาสตราจารย์ศิลป์
พีระศรี กล่าวว่า คนไม่ใช่สัตว์ สัตว์เดียรัจฉาน จึงไม่ต้องต่อยตีกัน
ให้เรียน
เรียน
เรียนเท่านั้น หน้าที่ของเราคือเรียน
พิทชา ชมเชิงแพทย์ นักเรียนโรงเรียนศิลปศึกษาเมื่อครั้งหลักสูตรการเรียนสามหน่วย
คือ ๑. หน่วยจิตรกรรม ประติมากรรม ๒. หน่วยช่างสิบหมู่ และ๓. หน่วยโบราณคดี
กล่าวว่า ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี มักแวะเวียนมาที่โรงเรียนเสมอๆ
โดยเฉพาะเรื่องการอบรมนิสัยนักเรียนในสมัยนั้น ครั้งหนึ่งเรื่องความสะอาดห้องส้วม
ที่สกปรกซึ่งศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีมิไคร่จะชอบนัก ศาสตราจารย์ศิลป์
กล่าวในที่ประชุมด้วยน้ำเสียงภาษาไทยสำเนียงฝรั่งที่โมโหว่า เราอยู่รวมกัน
หลายๆคนอึ เราจะต้องมีความสะอาด เป็นต้นว่า ห้องส้วมนะ เราควรจะใช้แล้ว
ควรทำให้สะอาด ไม่ใช่ทำแล้วหนีไป เป็นคนหนา เลวกว่าแมว หมา แมว มันยังดีกว่า
ขี้แล้วยังรู้จักกลบ
ดูเหมือนศาสตราจารย์ศิลป์ มักเป็นผู้ไกล่เกลี่ยอบรมนักเรียน กับเหตุการณ์หลายๆกรณี
เมื่อครั้งราชการยุบกระทรวงวัฒนธรรม ปี พ.ศ. ๒๕๐๑ โรงเรียนศิลปศึกษาจึงเกิดการเปลียนแปลงทั้งด้านบุคลากรที่ย้ายมาจากกรมต่างๆ
และระบบการเรียนการสอนหลักสูตรที่เน้นการเรียนวิชาสามัญมากขึ้นเหมือนสถานศึกษาอื่นๆที่เป็นอยู่
ทั้งระเบียบเครื่องแต่งกายนักเรียนจึงประท้วงไม่ยอมเข้าเรียนวิชาสามัญ
ประภาส อิ่มอารมณ์ กล่าวว่า ฯพณฯชวน หลีกภัย อดีตนากรัฐมนตรี ในขณะนั้นเป็นตัวแทนในการเจรจาขอให้ไม่เน้นวิชาสามัญมากเกินไป
ศาสตราจารย์ศิลป์ จึงเป็นผู้คลี่คลายกรณี ดังได้กล่าวในการเจรจาว่า
พวกนายจะเขียนรูปเป็นอย่างเดียวโดยไม่ใส่ใจกับวิทยาการรอบข้าง นายจะเป็นแค่คนเขียนรูปเท่านั้น
ไม่แตกต่างกับชาวสวน ชาวนาที่ทำเกษตรเป็น จะเอาอย่างนั้นหรือ ศิลปินที่ดีจะต้องเป็นผู้รอบรู้
เพื่อสร้างสรรค์งานศิลปะที่มีคุณค่า เพราะพวกเขามีความรู้ทุกๆสาขานอกเหนือวิชาศิลปะเช่นกัน
มานัส รักใจ กล่าวถึงศาสตราจารย์ศิลป์ ซึ่งเป็นที่รัก นับถือว่านอกจากท่านจะสอนเกือบทุกวิชาที่เกี่ยวข้องกับศิลปะ
เช่นองค์ประกอบศิลป์ และทฤษฎีสีแล้ว ในกรณีดังกล่าวนี้ อาจารย์ฝรั่ง
ผู้ก่อตั้งเตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร โรงเรียนศิลปศึกษา จึงต้องเดินทางมาอบรมศิษย์
ว่าท่านรักและเอาใจใส่ศิษย์เพราะอยากให้เป็นคนดี แต่ไม่เป็นอย่างที่ท่านคิดไว้
กลับมาเกเร ท่านรู้สึกผิดหวัง
สมเกียรติ เสวิกุล กล่าวว่า เมื่อครั้งปี พ.ศ.๒๔๙๙ ในขณะที่ท่านเรียนอยู่ชั้นปีที่
๑ นั้นนักเรียนมักส่งเสียงดังกัน จนเป็นที่เดือดร้อน ศาสตราจารย์ศิลป์
ซึ่งปฏิบัติง่านในห้องพักของท่าน จึงต้องทำหน้าที่อบรม ท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังในการกระทำของศิษย์ว่า
เกรงใจกันบ้างสิ ทำงานต้องการสมาธิเหมือนกัน
นาย.. นี่นาย ทำไมชอบทำเสียงสัตว์ป่า
นายเป็นคนนะ ไม่ใช่สัตว์ท่านกล่าวในเชิงให้สติ
นอกเหนือจากเหตุการณ์ซึ่งไม่ปกติแล้ว ปกติศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรีก็มักจะแวะมาเยี่ยมโรงเรียน
และเข้าอบรมแก่นักเรียน โรงเรียนศิลปศึกษาอยู่เนืองๆ
อรรถทวี ศรีสวัสดิ์ กล่าวว่า ศาสตราจารย์ศิลป์ นอกจากจะเป็นที่กล่าวขานของรุ่นพี่ว่า
อาจารย์ฝรั่ง สอนดี เข้าใจง่าย วันหนึ่งในที่ประชุม อาจาร์ศิลป์พูดเกี่ยวกับระเบียบวินัยของโรงเรียน
ว่า ฉันตั้งโรงเรียนศิลปศึกษาขึ้นมา เพื่อให้นักเรียนได้เรียนศิลปเบื้องต้น
เมื่อจบแล้วให้ไปต่อที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ขณะเดียวกัน นักเรียนก็ต้องรู้จักปฏิบัติตามระเบียบวินัยของโรงเรียนด้วย
เป็นนักเรียนต้องรู้จักหน้าที่ของตนเอง ถ้าไม่มีระเบียบและวินัยของโรงเรียน
ก็ไม่ใช่โรงเรียนแน่นอน อรรถทวี ศรีสวัสดิ์ กล่าวว่าครั้งนั้นเป็นความภาคภูมิใจที่ผู้ก่อตั้งโรงเรียนมาอบรม
๑๕ กันยายน ของทุกปีในขณะนั้น ศิษย์โรงเรียนศิลปศึกษา
ถือเป็นวันที่รอคอยเพราะคือโอกาสการได้ร่วมงานวันเกิดของท่านศาสตราจารย์ศิลป์
ที่บ้านพักของท่าน ซอยสายลม ถนนพหลโยธิน ศาสตราจารย์ศิลป์จะอยู่ร่วมงาน
เล่านิทาน ร้องเพลง และหยอกล้อกับศิษย์ดังปฏิบัติต่อลูกหลาน
จวบจนปัจจุบัน วิทยาลัยช่างศิลป สำนึกในบุญคุณของท่านผู้ริเริ่มวางรากฐาน
และก่อตั้งวิทยาลัยช่างศิลป ได้จัดกิจกรรมรำลึกศาสตราจารย์ศิลป์
พีระศรี ในวันเกิดของท่านคือ วันที่ ๑๕ กันยายน มาตลอดทุกปี เพียงแต่วันนี้ไร้ร่างเจ้าของวันเกิด
เหลือคำสอน และสถานศึกษาศิลปะ ตลอดจนคุณความดีที่ไม่มีใครลืม ศิลปะยืนยาว ชีวิตสั้น
บรรณานุกรม
นิทรรศการเชิดชูเกียรติ ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี , มหาวิทยาลัยศิลปากร
, อมรินทร์การพิมพ์ , ๒๕๓๕
อาจารย์ศิลป์กับลูกศิษย์ , สำนักวิจัยศิลป์ พีระศรี , อมรินทร์การพิมพ์
, ๒๕๒๗
๕๐ ปี ศิลปศึกษา ช่างศิลป บทความข้อเขียนของศิษย์เก่าศิลปศึกษา ช่างศิลป
, สมาคมศิษย์เก่าศิลปศึกษา ช่างศิลป , ๒๕๔๕
|