โดย
วิทมน นิวัติชัย
ช่วงปิดเทอมฤดูร้อนของข้าพเจ้าย้อนไปสมัยที่เรียนปริญญาโท
เป็นช่วงที่เพื่อนฝูงมักชักชวนกันออกไปนั่งอ่านหนังสือกันตามสวนสาธารณะ
หนังสือในห้องสมุดต่างๆ ก็มีให้หยิบยืมอ่านกันได้อย่างไม่รู้จักหมด
อัตชีวประวัติของศิลปิน ถือเป็นหนึ่งในหัวข้อโปรดของข้าพเจ้า เพราะนอกจากจะได้ทำความเข้าใจในความเป็นมาของศิลปินแต่ละท่านแล้ว
ยังทำให้ทราบถึงพฤติกรรม สิ่งแวดล้อม แนวทางการดำเนินชีวิต และการเผชิญกับอุปสรรคในฐานะของศิลปินได้อย่างน่าสนใจยิ่ง
เมื่อเร็วๆนี้ได้มีโอกาสสัมผัสชีวิตของจิตรกรหญิงชาวเม็กซิกัน ที่เป็นที่รู้จักกันดีนาม
ฟรีด้า คาร์โล่ (Frida Kahlo) ผ่านการถ่ายทอดสู่แผ่นฟิล์ม ก็ทำให้ข้าพเจ้าได้กลับมาคิดย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เคยอ่าน
และกลายเป็นหัวข้อสนทนาในกลุ่มเพื่อนสมาชิกอยู่เป็นอาทิตย์ ส่วนที่สำคัญหลายตอนไม่ได้ถูกกล่าวถึง
ซึ่งข้าพเจ้าเห็นว่าควรจะได้เขียนเล่าเพิ่มเติม
คุณสมบัติ 3 ประการ
ที่สามารถอธิบายความเป็นฟรีด้า และอาจอธิบายรวมถึงศิลปิน และบุคคลที่มีชื่อเสียงในโลกอีกหลายท่าน
คือ ความเป็นตัวของตัวเอง ความดื้อรั้น และความเชื่อมั่นในตนเอง ฟรีด้าได้รับสืบทอดเชื้อสายของความเป็นศิลปินมาจากบิดาของเธอ
Guillermo ซึ่งเป็นช่างภาพมืออาชีพ และจิตรกร ชีวิตของฟรีด้า พบการเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ
2 ครั้ง เมื่ออายุได้ 6 ขวบฟรีด้าป่วยเป็นโรคโปลิโอ ทำให้ต้องพักรักษาตัวอยู่นาน
หลังจากการบำบัดเธอก็ดีขึ้น แต่ก็ต้องประสบปัญหาในการเดิน และการโดนล้อจากเพื่อนฝูง
เนื่องจากขาขวาของเธอลีบ และสั้นลงกว่าข้างซ้าย
ช่วงปี 1922 เป็นช่วงที่เกิดการปฏิวัติในเม็กซิโก
ฟรีด้าเองอายุได้ 15 ปี เธอได้แสดงตัวว่าเป็นนักปฏิวัติ ทั้งทางด้านความคิด
อารมณ์ และจิตวิญญาณ ด้วยการปฏิรูปตัวเอง สลัดคราบการแต่งกายแบบยุโรปที่ครอบครัวเคยปฏิบัติ
มาตัดผมสั้นแบบผู้ชาย หันมาขี่จักรยาน หรือแม้กระทั่งเปลี่ยนปีเกิดจาก
1907 เป็น 1910 เพื่อแสดงความจริงจัง และจริงใจกับการปฏิวัติ พร้อมที่จะแสดงตนว่าเป็นเม็กซิกันสมัยใหม่
ในขณะเดียวกันก็เป็นช่วงที่เธอมีโอกาสได้พัฒนาความแข็งแกร่ง และความเชื่อถือในตนเองให้มีมากขึ้นไปด้วย
ผลการเรียนของฟรีด้าอยู่ในเกณฑ์ดีมากในทางวิทยาศาสตร์ (คะแนนถึงที่จะเรียนต่อในคณะแพทย์)
ฟรีด้ามีความสนใจในชีววิทยา (Biology) และสรีรศาสตร์ (Physiology)
และก็ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าในผลงานจิตรกรรมของเธอมักจะมีอวัยวะ โดยเฉพาะหัวใจปรากฏอยู่เสมอ
จุดเปลี่ยนที่สองของเธอที่เราได้เห็นในภาพยนตร์ด้วยคือ
เมื่อกันยายน 1925 ฟรีด้าประสบอุบัติเหตุจากรถบัสที่เธอโดยสารหลังเลิกเรียนพุ่งชนกับรถขายของ
ซึ่งผลจากการหักเป็นชิ้นเล็กๆของกระดูก และการถูกส่วนแหลมของราวเหล็กทิ่มผ่านทะลุเกือบทั้งร่าง
ทำให้อาการของฟรีด้าค่อนข้างหนักมาก ต้องได้รับการพักรักษาตัวบนเตียงโดยไม่เคลื่อนไหวมากเป็นระยะเวลานาน
แม้การเจ็บป่วยคราวนี้จะกระทบทั้งกาย และใจ แต่เธอก็ไม่ทิ้งการอ่าน
ฟรีด้าอ่านหนังสือแทบทุกเล่มที่เกี่ยวกับศิลปะ หลังจากนั้นอีกหนึ่งปีเธอก็สามารถวาดภาพคนเหมือนภาพแรกให้กับแฟนของเธอสมัยมัธยม
จะเห็นได้ว่าศิลปินบางคนได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติ หรือสังคม
แต่สำหรับฟรีด้าเธอกลับมองเข้าไปในจิตใจของตนเอง เราสามารถเห็นได้จากงานจิตรกรรมกว่า
200 ชิ้นของเธอที่เกี่ยวข้องกับมุมมองของชีวิตเธอเอง
ในปี 1929 ฟรีด้าแต่งงานกับศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ชาวเม็กซิกัน
ดิเอโก้ ริเวอร่า (Diego Rivera) และหย่าในปี 1939 จากนั้นแต่งงานใหม่กับเขาอีกในปี
1940 (ข้าพเจ้าคงไม่อาจลงลึกในความสัมพันธ์ของสองคนมากนักเพราะเกรงว่าเนื้อที่คงจะไม่เพียงพอ
) ด้วยความไม่ซื่อสัตย์ของดิเอโก้ ประกอบกับพฤติกรรมมากรักของเขา สร้างความเจ็บปวดอย่างสูงสุดแก่ฟรีด้า
และความเจ็บปวดเหล่านั้นก็ถูกถ่ายทอดผ่านออกมาในงานจิตรกรรมของเธอ
โดยฟรีด้าเขียนบันทึกไว้ว่า ฉันทุกข์ทรมานจากอุบัติเหตุชีวิตสองครั้ง
ครั้งแรกคือการที่รถบัสพุ่งมาชนฉัน และครั้งที่สองคือ ดิเอโก้
อาการป่วยเรื้อรังของฟรีด้าจากอุบัติเหตุ
ทำให้เธอต้องได้รับการผ่าตัดอยู่หลายครั้งหลายหน แต่ก็ไม่ทำให้ดีขึ้น
เธอมักจะวาดภาพอยู่บนเตียงโดยใช้ขาหยั่งที่มารดาของเธอเป็นผู้ออกแบบให้เป็นพิเศษ
และในที่สุดอาการของเธอก็หนักขึ้น แต่เธอยังคงสู้ และพยายามทำใจให้สดชื่น
ในขณะนั้นเองเธอก็เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันในระดับโลก เราจะเห็นได้จากฉากท้ายๆ
ที่ภาพยนตร์นำเสนอ คือ ตอนที่แกลเลอรี่หนึ่งในเม็กซิโกต้องการจัดการแสดงของเธอ
เราจะเห็นถึงความมีวิญญาณของศิลปิน ที่แม้จะป่วยหนักแค่ไหนก็ต้องให้คนช่วยกันแบกเตียงของเธอมายังที่แสดง
เพื่อที่จะพบปะกับผู้ชม
ฟรีด้าเสียชีวิตในปี
1954 ในห้องสีฟ้าสดห้องเดิมที่เธออยู่มาตั้งแต่เกิด ฟรีด้าทิ้งมรดกที่เป็นงานศิลปะไว้ให้เราศึกษา
และชื่นชม แต่นั่นดูเหมือนจะไม่เท่ากับแรงบันดาลใจที่เราได้รับจากการรู้จักชีวิตของเธอ
การถ่ายทอดความเจ็บปวดสู่ผลงานศิลปะอย่างอัจฉริยะ ข้าพเจ้าเห็นว่านี่คือสิ่งที่เธอมีชัยชนะเหนือความเคราะห์ร้ายทั้งปวง
|